ทิศทางอาเซียนกับการศึกษา
ภัทรวิทย์ อยู่วัฒนะ
มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนสุนันทา
ปี 2558
ภูมิภาคเราจะก้าวเข้าสู่ความเป็นประชาคมอาเซียน หลายปีที่ผ่านมา
เราได้ยินกระแสอาเซียนกันอย่างหนาหู แล้ว อาเซียนคืออะไร....
อาเซียนเริ่มต้นจากสมาคมอาสา ซึ่งก่อตั้งขึ้นเมื่อเดือนกรกฎาคม พ.ศ. 2504
โดยมีไทย มาเลเซีย และฟิลิปปินส์ แต่ก็ได้ถูกยกเลิกไป ต่อมาในปี พ.ศ.2510
ได้มีการลงนามใน "ปฏิญญากรุงเทพ” อาเซียน ได้ถือกำเนิดขึ้น
โดยมีรัฐสมาชิกเริ่มต้น 5 ประเทศ
ซึ่งมีวัตถุประสงค์เพื่อความร่วมมือในการเพิ่มอัตรา การเติบโตทางเศรษฐกิจ
การพัฒนาสังคม วัฒนธรรม ในกลุ่มประเทศสมาชิก
และการรักษาไว้ซึ่งสันติภาพและความมั่นคงในภูมิภาค
โดยเปิดโอกาสให้คลายข้อพิพาทระหว่างประเทศสมาชิกอย่างสันติ หลังจาก
พ.ศ.2527 เป็นต้นมา อาเซียนมีรัฐสมาชิกเพิ่มขึ้นจนมี 10 ประเทศ ปัจจุบัน
กฎบัตรอาเซียนได้มีการลงนาม เมื่อเดือนธันวาคม พ.ศ.2551
ซึ่งทำให้อาเซียนมีสถานะคล้ายกับสหภาพยุโรปมากยิ่งขึ้น
เขตการค้าเสรีอาเซียนได้เริ่มประกาศใช้ตั้งแต่ต้นปี พ.ศ.2553
และกำลังก้าวสู่ความเป็นประชาคมอาเซียน ซึ่งจะประกอบด้วย
สามด้าน คือ ประชาคมอาเซียนด้านการเมืองและความมั่นคง ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน และประชาคมสังคมและวัฒนธรรมอาเซียน ในปี พ.ศ.2558
สามด้าน คือ ประชาคมอาเซียนด้านการเมืองและความมั่นคง ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน และประชาคมสังคมและวัฒนธรรมอาเซียน ในปี พ.ศ.2558
การศึกษาเป็นส่วนหนึ่งของความร่วมมือเฉพาะด้านของอาเซียน
โดยความร่วมมือดังกล่าวมีพัฒนาการเป็นลำดับอย่างช้าๆ
ทั้งในเชิงบริหารจัดการและสาระความร่วมมือ โดยในการบริหารจัดการนั้น
มีความพยายามที่จะผลักดันให้ความร่วมมือด้านการศึกษาของอาเซียน
มีลักษณะที่เป็นทางการและมีผลในเชิงนโยบายและในเชิงปฏิบัติมากขึ้น
ต่อมาเมื่ออาเซียนมีการปรับตัวในเชิงโครงสร้างเพื่อให้ความร่วมมือในด้าน
ต่างๆ ของอาเซียนเข้มแข็งขึ้น
ได้มีการจัดการประชุมรัฐมนตรีศึกษาอาเซียนครั้งแรก
คู่ขนานกับการประชุมสภาซีเมค ที่ประเทศสิงคโปร์
และมีการจัดอย่างต่อเนื่องทุกปี
การจัดการศึกษาในอาเซียนเป็นรากฐานสำคัญในการสร้างความเข้มแข็ง
และความเจริญรุ่งเรืองทางเศรษฐกิจของอาเซียนและเศรษฐกิจโลก นอกจากนี้
การอุดมศึกษาในอาเซียน ได้กลายเป็นภาคธุรกิจขนาดใหญ่และไร้พรมแดน
เพื่อตอบสนองการเปิดเสรีการศึกษา ทั้งในกรอบอาเซียนและการค้าโลก
เป็นผลให้เกิดกระแสการแข่งขันในการให้บริการด้านการศึกษา
การเสริมสร้างความร่วมมือกับประเทศเพื่อนบ้าน
ในการพัฒนามาตรฐานการศึกษาของสถาบันการอุดมศึกษาไปสู่ความเป็นนานาชาติ และ
World Class University ตามระบบ
และรูปแบบการจัดการศึกษาของยุโรปและอเมริกา
ทั้งในประเทศที่ใช้ภาษาอังกฤษเป็นภาษาหลักภาษาหนึ่งในการเรียนการสอน เช่น
ฟิลิปปินส์ สิงคโปร์ มาเลเซีย และในประเทศที่ใช้ภาษาท้องถิ่นเป็นหลักเช่น
ไทย ลาว กัมพูชา เวียดนาม เพื่อตอบสนอง
การเปลี่ยนแปลงและความต้องการของตลาดแรงงานในระดับชาติและภูมิภาค
การปรับตัวต่อกระแส การเปิดเสรีทางการศึกษา กฎบัตรอาเซียน ฯลฯ
แนวทางดังกล่าวก่อให้เกิดความร่วมมือทางวิชาการระหว่างสถาบันอุดมศึกษาในอา
เซียนและประชาคมยุโรป ในลักษณะข้อตกลงที่ทำร่วมกันในระดับสถาบันต่อสถาบัน
ทั้งในส่วนของมหาวิทยาลัยของรัฐและมหาวิทยาลัยของภาคเอกชน
ในด้านการพัฒนาหลักสูตร การพัฒนาสถาบันการศึกษาร่วมกัน
ในขณะเดียวกันการจัดตั้งเครือข่ายมหาวิทยาลัยอาเซียน
ได้ช่วยส่งเสริมความร่วมมือในการพัฒนาคณาจารย์ นักวิชาการ
และนักศึกษาในระดับอุดมศึกษา รวมทั้งการแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสาร
ทั้งระหว่างประเทศสมาชิกด้วยกันเอง
และความร่วมมือกับประเทศคู่เจราจาในอาเซียนบางประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง
ญี่ปุ่น เกาหลี จีน อินเดีย รัสเซีย และสหภาพยุโรป อีกด้วย
ถึงตอนนั้น
อาเซียนได้ตั้งเป้าหมายที่จะพัฒนาแนวคิดกิจกรรม
และการจัดการศึกษาร่วมกันในภูมิภาค บนรากฐานภูมิปัญญาระดับชาติและภูมิภาค
เพื่อป้องกันสภาพไม่สมดุลจากการไหลบ่าเพียงด้านเดียวของกระแสโลกาภิวัตน์จาก
ตะวันตก ปฏิญญาอาเซียนด้านการศึกษา
ที่ผู้นำให้การรับรองในระหว่างการประชุม สุดยอดอาเซียน
ซึ่งเน้นการขับเคลื่อนประชาคมอาเซียนทั้ง 3 เสาหลัก
สะท้อนการจัดการศึกษาแบบเชื่อมโยง
การหลอมรวมความหลากหลายบนพื้นฐานของเอกลักษณ์และความแตกต่าง
การพัฒนาและประสานความร่วมมือและแลกเปลี่ยนวิชาการระหว่างชาติในภูมิภาคบน
พื้นฐานของประโยชน์ร่วมกัน ทั้งในกรอบ ซีมีโออาเซียน และ ยูเนสโก
นอกจากนี้
ความร่วมมือในการเปิดเสรีด้านการศึกษา
ยังเป็นมาตรการรองรับสำคัญต่อเป้าหมายการก้าวสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน
ซึ่งครอบคลุมการจัดทำความตกลงยอมรับร่วมด้านการศึกษา ความสามารถ
ประสบการณ์ในสาขาวิชาชีพสำคัญต่างๆ
ควบคู่กับการเปิดเสรีด้านการเคลื่อนย้ายแรงงาน
ซึ่งกำหนดให้มีการยกเว้นข้อกำหนดเกี่ยวกับการขอวีซ่าสำหรับคนชาติอาเซียน
การอำนวยความสะดวก ในการออกวีซ่า
และใบอนุญาตทำงานสำหรับแรงงานมีฝีมือและผู้เชี่ยวชาญสัญชาติอาเซียนอีกด้วย.
************
ที่มา: http://www.thaipost.net